“ครูบาศรีวิชัย” เกิดเมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2421 ปีขาล ที่บ้านปาง ตำบลแม่ตืน ในปัจจุบันคือตำบลศรีวิชัย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นบุตรของนายควาย และนางอุสา มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน บ้านเกิดของพวกเขาคือบ้านสันป่ายางหลวง ทางด้านเหนือของตัวเมืองลำพูน ในวันที่นางอุสาเจ็บท้องจะคลอดลูกพระอาทิตย์ได้คล้อยต่ำลงไปเกือบจะ 6 โมงเย็น นายควายและญาติพี่น้องพร้อมด้วยหมอตำแยได้ดูแลการคลอดของนางอุสาอย่างเต็มที่ และในขณะนั้นท้องฟ้าอากาศที่สว่างไสวกลับมืดครึ้ม เกิดพายุแรงพัดกระหน่ำสายฝนตกลงมาอย่างหนักและมีเสียงฟ้าร้อง จนกระทั่งในที่สุดนางอุสาก็ได้คลอดทารกน้อยออกมาพร้อมกับเสียงร้องไห้ และเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งเมื่อเสียงฝนและพายุก็หยุดสงบลง ทำให้ครอบครัวของนายควายได้ตั้งชื่อเด็กน้อยที่เกิดขึ้นมาว่า “เด็กชายอินท์เฟือน“ ตามภาษาล้านนาแปลว่า กระเทือน หรือ กัมปนาท
เมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มอายุ 17 ปี นายเฟือนได้เข้าสู่เส้นทางธรรมบวชเป็นเณรที่วัดบ้านปาง ร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ กับครูบาขัตติยะ เมื่อสามเณรอินตาเฟือนมีอายุย่าง 21 ปี ก็ได้อุปสมบทเป็นพระที่วัดบ้านโฮ่งหลวง จังหวัดลำพูน ได้รับฉายานามว่า “สิริวชโยภิกฺขุ” หรือ “พระศรีวิชัย“
เป็นที่ร่ำลือกันว่าพระศรีวิชัยเป็นผู้มีศรีลาจารวัตรที่งดงามและเคร่งครัด อาทิ ท่านงดการเสพหมาก เมี่ยง บุหรี่ นอกจากนี้ยังงดฉันเนื้อสัตว์ตั้งแต่เมื่ออายุ 26 ปี และฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ซึ่งมักจะเป็นผักต้มใส่กับเกลือและพริกไทย ด้วยจริยวัตรอันเคร่งครัดของท่านทำให้เกิดแรงศรัทธาแก่เหล่าพุทธศาสนิกชน กระทั่งรวบรวมเหล่าพุทธศาสนิกชนทำการสร้างทางเดินขึ้นดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ได้เป็นผลสำเร็จ โดยเริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2477 และสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2478 นอกจากท่านจะสร้างทางขึ้นดอยสุเทพแล้ว ท่านยังได้จัดการสังคายนาพระไตรปิฎกฉบับลานนาไทย รวมทั้งสร้างและบูรณวัดต่าง ๆ หลายวัด ด้วยที่ท่านเป็นผู้ทรงศีลจนได้รับขนานนามว่า “พระครูบาศีลธรรมเจ้า”
นอกจากนี้ “พระศรีวิชัย” ยังให้ความสนใจในวิชาอาคมและยึดถือเป็นของวิเศษนำพาความเจริญมาให้ ว่ากันว่าด้วยความที่ท่านเลื่อมใสในวิชาอาคม พระศรีวิชัยจึงมีความคิดที่จะลาสิกขา รวมทั้งท่านยังได้สักขาหมึกดำทั้ง 2 ข้างตามความนิยมของชายล้านนาสมัยนั้น ในเวลานั้นครูบาขัตติยะมรณภาพลงพระศรีวิชัยจึงได้ทำบุญฌาปนกิจพระอาจารย์ หลังจากนั้นด้วยท่านเป็นพระที่มีพรรษามากที่สุดในขณะนั้นจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัด จากนั้นจึงทำการย้ายวัดจากที่ตั้งเดิมขึ้นไปอยู่บนเขา และให้ชื่อว่า “วัดศรีดอนชัยทรายมูลบุญเรือง”
ชื่อเสียงของครูบาศรีวิชัยทำให้พระสังฆาธิการในจังหวัดลำพูนบางรูป นำโดยเจ้าคณะจังหวัดลำพูนตั้งอธิกรณ์กล่าวหาว่าท่าน อาทิ ทำตัวเป็น “ผีบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์ ซ่องสุมกำลังผู้คน คิดขบถต่อบ้านเมือง และนำท่านไปจำไว้ที่ลำพูนและวัดศรีดอนไชย เชียงใหม่ จากนั้นจึงได้ส่งตัวท่านไปไต่สวนที่กรุงเทพฯ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงทรงตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องพระศรีวิชัย ประกอบด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์, พระญาณวราภรณ์ (ม.ร.ว.ชื่น สุจิตฺโต) และ พระธรรมไตรโลกาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) ได้ถวายรายงานมีความเห็นว่าเกี่ยวกับการไม่ให้ความร่วมมือกับฝ่ายปกครองนั้นพระศรีวิชัยรับสารภาพและได้รับโทษแล้ว ข้อที่เหลือซึ่งเกี่ยวกับการอวดอ้างคุณวิเศษพระศรีวิชัยไม่มีความผิด เพราะประชาชนเล่าลือไปเองและเจ้าคณะฯ ลงโทษเกินไป เห็นควรปล่อยพระศรีวิชัยกลับภูมิลำเนา สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณโรรสทรงเห็นชอบ
“ครูบาศรีวิชัย” ได้มรณภาพเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 ณ วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สิริอายุได้ 60 ปี ได้ทำการตั้งศพไว้ที่วัดบ้านปางเป็นเวลา 1 ปี จากนั้นจึงได้เคลื่อนศพมาตั้งไว้ ณ วัดจามเทวี อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน จนกระทั่งวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 จึงได้รับพระราชทานเพลิงศพโดยมีประชาชนมาร่วมในพิธีพระราชทานเพลิงศพจำนวนมาก และประชาชนเหล่านั้นได้เข้าแย่งชิงอัฏฐิธาตุของครูบาศรีวิชัยตั้งแต่ไฟยังไม่มอดสนิท แม้แต่แผ่นดินตรงที่ถวายพระเพลิงก็ยังมีผู้ขุดเอาไปสักการะบูชา
โดยอัฏฐิธาตุของ “ครูบาศรีวิชัย” ได้ถูกแบ่งออกทั้งหมดเป็น 7 ส่วน จากนั้นได้นำไปบรรจุตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วแผ่นดินล้านนา ดังนี้ วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน, วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่, วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม จังหวัดลำปาง, วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา, วัดพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่, วัดน้ำฮู จังหวัดแม่ฮ่องสอน, วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ครูบาศรีวิชัยนั้นเป็นพระเถระที่ชาวล้านเคารพและศรัทธาเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลาที่ถือครองสมณะเพศท่านได้ถือศีลไม่กินเนื้อสัตว์ ทั้งยังสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ชาวล้านนาอย่างมากมาย จนได้รับยกย่องให้เป็น “ครูบา” ซึ่งได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยบริเวณตรงทางขึ้นดอยสุเทพ ก่อนถึงน้ำตกห้วยแก้ว
หากท่านชื่นชอบบทความสาระความรู้ที่เรานำมาฝาก ท่านสามารถเข้าไปติดตามอ่านได้ที่เว็บไซต์ ศูนย์วัตถุมงคล คู่บุญคู่บารมี หรือถ้าอยากติดตามแบบไม่ให้พลาดทุกความเคลื่อนไหวสามารถเข้าไปกดติดตามกันได้ที่เพจเฟสบุ๊ค ศูนย์วัตถุมงคล คู่บุญคู่บารมี เรายังมีบทความที่น่าสนใจให้ติดตามกันอีกค่ะ